Zoom ความเสี่ยงมหาวิทยาลัยไทยผ่าน IMD’s World Competitiveness 2020

ช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2020 มีการประกาศผลการจัดอันดับของมหาวิทยาลัยจากสำนักจัดอันดับทั้ง QS World Rankings 2021, The Times Higher Education University Impact Rankings 2020 ที่สะท้อนถึงศักยภาพและคุณภาพของมหาวิทยาลัยทั่วโลกในมิติต่างๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดทิศทางของมหาวิทยาในระยะต่อไปว่าจะขับเคลื่อนเป้าหมายและส่งมอบคุณค่าอย่างไรต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและสังคม นอกจากระบบการจัดอันดับมหาวิทยาลัยข้างต้นแล้ว ล่าสุด Institute for Management Development หรือ IMD ได้ประกาศผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ หรือ IMD’s World Competitiveness Ranking 2020 ซึ่งมีข้อมูลที่น่าสนใจในมิติของการบริหารความเสี่ยง ศูนย์บริหารความเสี่ยง จุฬาฯ จึงขอหยิบยกระบบการจัดอันดับนี้มากล่าวถึงในบทความ

เมื่อความท้าทายมาเยือนถึงรั้วมหาวิทยาลัย

จากรายงานผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในปี 2020 มีผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันลดลงจากอันดับ 25 ในปี 2019 เป็นอันดับที่ 29 โดยมี 2 ด้านหลักที่ลดลง คือ สมรรถนะทางเศรษฐกิจ (Economic Performance) และประสิทธิภาพของภาครัฐ (Government Efficiency) และ 2 ด้านหลักที่เพิ่มขึ้น คือ ประสิทธิภาพของภาครัฐ (Business Efficiency) และโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ขีดความสามารถที่ลดลงในภาพรวมแสดงให้เห็นว่ายังคงมีความท้าทายของประเทศในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและปรับตัวให้ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วตลอดเวลา ระบบการอุดมศึกษาและมหาวิทยาลัยในฐานะที่เป็นภาคส่วนหนึ่งในระบบเศรษฐกิจและสังคมจึงมีความเชื่อมโยงกัน เมื่อลงรายละเอียดมายังขีดความสามารถด้านการศึกษา ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ขององค์ประกอบย่อยในด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ที่ประกอบด้วย 18 ตัวชี้วัดย่อยด้านการศึกษา พบว่า ภาพรวมในปี 2020 ดีขึ้นจากปี 2019 ไม่ว่าจะเป็นความคิดเห็นต่อการตอบสนองความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของระบบการศึกษา และการตอบสนองความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของระดับอุดมศึกษา และการจัดการศึกษาสาขาบริหารจัดการที่สนองตอบความต้องการของภาคธุรกิจ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพที่ดีขึ้นของมหาวิทยาลัยในการตอบสนองทางเศรษฐกิจของประเทศทั้งในเชิงกระบวนการ (Process) และผลลัพธ์ (Outcome) แต่ในภาพรวมเป็นการดีขึ้นเพียง 1 อันดับ แล้วยังคงอยู่ในอันดับท้ายๆจากการจัดอันดับ (อันดับที่ 55 จาก 63 ประเทศ)

นอกจากนี้ในทางตรงข้ามกลับพบศักยภาพที่ลดลงด้านการศึกษาที่สะท้อนถึงตัวป้อน (Input) ของมีแนวโน้มแย่ลงไม่ว่าจะเป็น งบประมาณภาครัฐที่ใช้ในการศึกษา อัตราการเข้าเรียนสุทธิระดับมัธยมศึกษา นักศึกษาต่างชาติที่เข้ามาศึกษาในประเทศ และผลสัมฤทธิ์ PISA ของนักเรียนไทย ในเชิงผลลัพธ์ (Outcome) ก็เช่นกัน ได้แก่ ประชากรที่สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษา ผู้หญิงที่มีการศึกษาในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท หรือแม้แต่ทักษะทางภาษาที่ตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการ

ประกอบกับข้อมูล Key Attractiveness Indication พบเป็นปัจจัยด้านเศรษฐกิจของประเทศไทยในลำดับท้ายๆ คือ ระดับการศึกษาชั้นสูง (High Educational Level) ความเข้มแข็งวัฒนธรรมการวิจัยและพัฒนา (Strong R&D Culture) สภาพแวดล้อมทางกฎหมายที่มีประสิทธิภาพ (Effective Legal Environment) และสมรรถนะของภาครัฐ (Competency of government) จุดอ่อนเหล่านี้เป็นความท้าทายอย่างยิ่งต่อมหาวิทยาลัยไทย

วิเคราะห์ความเสี่ยงจากสิ่งที่เข้ามาท้าทาย

จากผลการจัดอันดับขีดความสามารถที่ได้กล่าวไปแล้วในช่วงแรก ชี้ให้เห็นถึงประเด็นความเสี่ยงที่มีความเป็นไปได้ ช่วงต่อจากนี้จึงเป็นการวเคราะห์ความเสี่ยงของระบบอุดมศึกษาและมหาวิทยาลัยในประเทศไทย โดยมีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ความเสี่ยงเหล่านี้เกิดขึ้น

  1. ผู้เรียนในประเทศทุกระดับมีแนวโน้มลดลง เมื่อจำนวนนักเรียนมัธยมลดลง กลุ่มหลักที่เป็นผู้เรียนในมหาวิทยาลัยลดลงตามกัน ด้วยโครงสร้างประชากรที่มีการเกิดลดลง พร้อมกับโลกของการทำงานในปัจจุบันและอนาคตใช้ทักษะและประสบการณ์มากกว่าความรู้ทางวิชาการหรือความต้องการใบปริญญาในการเป็นสะพานเชื่อมโยงโลกของการทำงานเช่นในอดีต ในทางเดียวกันมหาวิทยาลัยมีที่นั่งว่างมากขึ้น คุณภาพของผู้เรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงลดลงจากเดิม
  2. ผู้เรียนชาวต่างชาติมีแนวโน้มลดลง เมื่อโอกาสในการศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยทั่วโลกมีมากขึ้นทำให้ชาวต่างชาติมีสิทธิในการตัดสินใจเลือกเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับต้นๆของการจัดอันดับ World Rankings เป็นทางเลือกหลัก หรือการสามารถเลือกศึกษาต่อในรูปแบบออนไลน์โดยไม่ต้องเคลื่อนย้าย (Mobility) ที่กำลังได้รับความนิยม ประกอบกับสถานการณ์การระบาดของไวรัส COVID-19 ที่ยังคงระบาดหรือเข้าสู่ระยะที่สอง (Second Wave) ในหลายประเทศ ทำให้มีผลต่อการตัดสินใจเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีคุณภาพดีและมีชื่อเสียงในต่างประเทศ รวมไปถึงกระแส Anti-Globalization ที่ทำให้เกิดมาตรการกีดกันและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศเพิ่มขึ้น
  3. สร้างผู้ตามมากกว่าผู้นำ ด้วยตัวป้อนของระบบอุดมศึกษาที่น้อยลง มหาวิทยาลัยย่อมมีสิทธิในการรับผู้เรียนที่มีสมรรถนะสูง (Talent) ได้ยากมากยิ่งขึ้น สภาพสังคมและการตัดสินใจของกลุ่มผู้เรียนที่เป็น GenZ ที่เน้นความอิสระ รวดเร็ว ไม่เดินตามแบบแผนเหมือนคนรุ่นก่อนๆทำให้ความสนใจในการพัฒนาตัวเองผ่านมหาวิทยาลัยไม่ใช่ทางเลือกหลักเสมอไป ผนวกกับระบบการผลิตคนของประเทศยังปรับตัวไปทันการเปลี่ยนแปลง เช่น ยึดติดกับระเบียบแบบแผน หลักเกณฑ์ที่ไม่ยืดหยุ่น กระบวนการที่ซับซ้อน ทำให้กลไกการสร้างผู้นำ (Leaders) เกิดขึ้นได้ยาก บัณฑิตส่วนใหญ่ยังคงที่ปลูกฝังให้เป็นผู้ตาม (Followers) ปลายทางของบัณฑิตยังคงถูกปูไปสู่ตลอดแรงงานที่แทบจะไม่มีที่ว่างให้กับผู้ที่จบใหม่ ขาดการปลูกฝังการสร้างธุรกิจนวัตกรรมที่มีโมเดลเฉพาะลอกเลียนแบบได้ยาก
  4. การลงทุนในทรัพยากรที่สูญเปล่า อันเป็นผลสืบเนื่องจากการที่จำนวนผู้เรียนลดลง งบประมาณและราขได้มหาวิทยาลัยที่ลดลง แต่สิ่งที่ได้ลงทุนไปก่อนหน้าทั้งในเรื่องของ คน วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ อาคารสถานที่ แต่กลับไมได้นำมาใช้ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตั้งต้นของการลงทุน นอกจากสะท้อนภาพมุมมองการขาดประสิทธิภาพในการบริหารแผนงานและงบประมาณแล้ว ในมุมของการวิจัยเองก็สะท้อนถึงสภาพแวดล้อมด้านการวิจัยและพัฒนาที่ยังไม่เอื้อให้เกิดวัฒนธรรมที่เข้มแข็งของมหาวิทยาลัยไทย สิ่งที่ลงทุนไปจึงสูญเปล่าไม่ได้ถูกนำมาใช้สร้างคุณค่า
  5. ต้นทุนที่ไม่จำเป็นที่เพิ่มขึ้น การเข้ามาของเทคโนโลยีและการระบาดของ COVID-19 ทำให้มหาวิทยาลัยสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานใหม่ๆบนแพลตฟอร์มออนไลน์ได้อย่างรวดเร็วแล้วยังคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพ ตลอดช่วง 3 – 4 เดือนที่ผ่านมาได้แสดงหลักฐานเชิงประจักษ์และว่ามหาวิทยาลัยสามารถทรานฟอร์มได้จริง แต่ภายหลังจากสถานการณ์สิ้นสุดลงแล้วมหาวิทยาลัยจะมีทิศทางอย่างไรในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและแนวโน้มที่อาจจะเกิดขึ้น กำลังคนยังจำเป็นไปต้องปรับเปลี่ยนไปอย่างไร เทคโนโลยีสามารถเข้ามาทดแทนงานบางประเภทได้หรือไม่ โครงสร้างองค์กรต้องเป็นแนวราบ (Flat) รวดเร็ว (Agile) หรือลีน (Lean) แต่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นการไม่ง่ายของมหาวิทยาลัยจะตัดสินใจได้เช่นเดียวกับภาคเอกชน
  6. ความไม่มั่นคงทางการเงินของมหาวิทยาลัย เมื่อการลงทุนด้านการศึกษาของภาครัฐลดลง จำนวนผู้เรียนทั้งชาวไทยและต่างชาติลดลง คุณภาพการศึกษาที่ยังไม่สามารถแข่งขันกับหลายๆประเภทในภูมิภาคได้   มหาวิทยาลัยโดยเฉพาะในประเทศไทยซึ่งส่วนใหญ่ยังคงพึ่งพาแหล่งรายได้จากงบประมาณ การพึ่งพาภาครัฐเช่นที่เคยทำมาตลอดระยะเวลาหลายปีทำให้มหาวิทยาลัยยังคงอยู่ในโซนปลอดภัย (Comfort Zone) ขาดการคิดสร้างโมเดลธุรกิจ (Business Model) ที่จะทำให้มหาวิทยาลัยมีสถานะทางการเงินที่ยั่งยืน

ประเด็นความเสี่ยงในข้างต้นเป็นเพียงการวิเคราะห์จากผลการจัดขีดความสามารถด้านการศึกษา (Education) ซึ่งเป็นส่วนย่อยของ IMD’s World Competitiveness เท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริงอาจมีหลายปัจจัยที่เป็นชนวนก่อให้เกิดความเสี่ยงแก่มหาวิทยาลัยที่มาจากระบบเศรษฐกิจและสังคมทั้งภายในและต่างประเทศ การบริหารจัดการมหาวิทยาลัยในโลกที่ทุกมิติในชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วตลอดเวลา (VUCA World) จึงมีความท้าทายอย่างยิ่ง หากมหาวิทยาลัยในประเทศไทยยังคงดำเนินภารกิจโดยมีเป้าหมายและวิธีการเดิมๆ เชื่องช้าไม่ทันการณ์ เป็นไปได้ว่าในอนาคตอันใกล้นี้จะต้องมีมหาวิทยาลัยต้องปิดตัวลงหรือขายกิจการให้ต่างประเทศอย่างน่าเสียดาย

อวิรุทธ์ ฉัตรมาลาทอง, ศูนย์บริหารความเสี่ยง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ที่มา :

  1. Thailand: IMD World Competitiveness Yearbook 2020, Talent & Digital 2019: summaries
    https://www.imd.org/wcc/world-competitiveness-center-rankings/countries-profiles/
  2. ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ประจำปี 2563
    http://thailandcompetitiveness.org/topic/detail/210?fbclid=IwAR2HePZqjVKWz5emk706e6d_DyjG7MUxk6fAWArY4dxWgo37bUl-9o1gb3E
  3. ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการศึกษาของประเทศไทย ปี2563
    http://www.onec.go.th/index.php/page/view/Outstand/4034

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *