ความรับผิดชอบทางจริยธรรมของมหาวิทยาลัยในสถานการณ์ COVID-19

ความรับผิดชอบทางจริยธรรมของมหาวิทยาลัยในสถานการณ์ COVID-19

 

ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 มหาวิทยาลัยหลายแห่งทั่วโลกล้วนได้รับผลกระทบในลักษณะต่างๆ การบริหารจัดการมหาวิทยาลัยในภาวะวิกฤตเช่นนี้ ผู้บริหารและผู้ที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องตัดสินใจเชิงนโยบายและออกมาตรการอย่างเร่งด่วนเพื่อตอบสนองกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญ ควบคู่ไปกับการพิจารณาถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการตัดสินใจอย่างรอบคอบ ตรงไปตรงมา และภายใต้อำนาจหน้าที่มีอย่างเหมาะสม

ความไม่แน่นอนและการตื่นตระหนกเกี่ยวกับไวรัส COVID-19 ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ มหาวิทยาลัยนอกจากเป็นผู้นำทางวิชาการและการวิจัยของสังคมในการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์แล้ว ยังต้องส่งมอบคุณค่าตามพันธกิจและแสดงความรับผิดชอบทางจริยธรรม (Ethical Responsibility) ควบคู่ไปด้วยเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือทางวิชาการและดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล บทความนี้จึงเรียบเรียงและสรุปข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการแสดงความรับผิดชอบทางจริยธรรมเพื่อให้ผู้อ่านได้นำไปปรับใช้ให้เหมาะสมในการสร้างความน่าเชื่อถือและไว้วางใจแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย ซึ่งการแสดงความรับผิดชอบทางจริยธรรมแม้จะไม่ได้มีกฎหมายบังคับแต่เป็นสิ่งที่มหาวิทยาลัยพึงกระทำเพื่อแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม โดยแบ่งออกเป็น 6 แนวทาง ได้แก่

  1. ความซื่อสัตย์ทางวิชาการ (Academic Integrity)

มาตรการฉุกเฉินของมหาวิทยาลัย ทำให้กระบวนการทำงานภายในมหาวิทยาลัยเปลี่ยนแปลงไป เช่น การปรับรูปแบบการเรียนการสอนสู่แพลตฟอร์มออนไลน์ การปรับเปลี่ยนการวัดและประเมินผลลัพธ์ทางการเรียนรู้ของวิชา การปรับปฏิทินการศึกษา การยืดหยุ่นข้อกำหนดในการรับสมัครนิสิตนักศึกษาใหม่ รวมทั้งการปรับรูปแบบการทำงานจากที่พักอาศัยของหน่วยงานภายใน เหล่านี้ล้วนมีประเด็นเปราะบางทางจริยธรรมที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การพร้อมของการเรียนการสอนออนไลน์ของนิสิตและคณาจารย์ กระบวนการวัดและประเมินผลที่เป็นธรรม คุณสมบัติของผู้สมัครเข้าเรียนต่อที่อาจหย่อนลง ข้อกำหนดของการทำวิจัยและการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการที่ลดความเข้มงวดลง เป็นต้น เพราะสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ทำให้การดำเนินกิจกรรมทางวิชาการมีความยืดหยุ่นเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ฉะนั้นมหาวิทยาลัยยังคงต้องกำกับให้กิจกรรมเหล่านี้มีความน่าเชื่อถือและมีความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

  1. การปฏิบัติอย่างเท่าเทียม (Equal Treatment)

การปรับการเรียนการสอนเป็นรูปแบบออนไลน์แม้ว่าจะเป็นวิธีการที่ชาญฉลาดและได้รับการยอมรับมากยิ่งขึ้นหลังจากถูกนำมาใช้เป็นวิธีการหลักในยุค COVID-19 แต่สิ่งที่มหาวิทยาลัยต้องตระหนักในประเด็นจริยธรรมคือ ความเท่าเทียมทางการศึกษาทั้งในระดับสถาบันเองที่ต้องสำรวจว่านิสิตนักศึกษาสามารถเข้าถึงชั้นเรียนออนไลน์ได้ครบทุกคนหรือไม่ หรือระดับประเทศเองที่ภาครัฐต้องสนับสนุนให้ทุกมหาวิทยาลัยสามารถจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างประโยชน์แก่ผู้เรียนได้อย่างเท่าเทียมกันด้วย

  1. การส่งเสริมสุขภาพจิต (Mental Health Promotion)

การทำงานจากที่พักอาศัย (Work from Home) การเว้นระยะห่างทางกายภาพ (Physical Distancing) การกักกันตัวเอง (Self-quarantine) ทำให้สมาชิกในมหาวิทยาลัยไม่ว่าจะเป็นนิสิตนักศึกษาและบุคลากรต้องปรับตัวกับสภาพการเรียนการสอนและการทำงานแบบใหม่ที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน ความสัมพันธ์ทางสังคมเกิดขึ้นบนโลกออนไลน์เป็นหลัก ส่งผลให้หลายคนอยู่ในสภาวะเครียดและเสี่ยงต่ออาการซึมเศร้าได้ ดังนั้นมหาวิทยาลัยจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการดูแลส่งเสริมสุขภาพจิต อารมณ์ รวมทั้งความสัมพันธ์ทางสังคมแก่นิสิตนักศึกษาและบุคลากรด้วยซึ่งถือว่าสำคัญไม่น้อยไปกว่าการพัฒนาทางสติปัญญา นอกจากนี้หากเป็นไปได้ก็ควรบริการให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขรวมถึงประชาชนทั่วไปด้วย ซึ่งจะทำให้มหาวิทยาลัยแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมในวงกว้างอีกด้วย

  1. การจัดการภาระทางการเงิน (Financial Obligation Managing)

การหยุดชะงักทางเศรษฐกิจจากการระบาดของไวรัส COVID-19 นำมาซึ่งความท้าทายทางการเงินทั้งในระดับสถาบันและภาระทางการเงินส่วนบุคคลของบุคลากรและนิสิตนักศึกษา การตอบสนองต่อผลกระทบทางการเงินเป็นสิ่งที่มหาวิทยาลัยต้องดำเนินการอย่างจริงจัง อาทิ การใช้จ่ายงบประมาณที่เพิ่มขึ้นของมหาวิทยาลัยในการรับมือกับสถานการณ์ การงดเว้นหรือลดค่าธรรมเนียมการศึกษาอย่างเป็นธรรมแก่นิสิตนักศึกษาและผู้ปกครอง การเยียวยาช่วยเหลือทางการเงินสำหรับนิสิตนักศึกษาและบุคลากรที่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้มหาวิทยาลัยอาจดำเนินการควบคู่กับภาครัฐและสถาบันการเงินในหาวิธีการใหม่ๆสำหรับจัดการภาระทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ

  1. การคัดกรองการแพร่กระจายของข้อมูลข่าวสาร (Infodemic Filtering)

นอกจากการคัดกรองผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 แล้ว สิ่งสำคัญที่มหาวิทยาลัยไม่ควรละเลยคือการคัดกรองการแพร่กระจายของข้อมูลข่าวสาร หรือที่เรียกว่า “Infodemic” เนื่องจากในสถานการณ์เช่นนี้มีทั้งข้อมูลข่าวสารที่เป็นจริง (Fact) และเท็จ (Fake) ผสมผสานกันอยู่ในสังคมออนไลน์ การคัดกรองแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ จัดการกับข้อมูลเท็จอย่างฉับไว และเปิดเผยข้อมูลที่เป็นจริงอย่างตรงไปตรงมาเป็นแนวทางหนึ่งของการแสดงความรับผิดชอบทางจริยธรรมที่พึงกระทำ เพราะความจริงไม่สิ่งที่ไม่น่ากลัว

  1. ร่วมมือแก้ไขปัญหาระดับโลกอื่นๆ (Global Threats Addressing)

ความร่วมมืออย่างจริงจังและรวดเร็วที่เกิดขึ้นทั่วโลกตั้งแต่ระดับองค์กรจนถึงปัจเจกชนในการรับมือกับสถานการณ์การระบาดของไวรัส COVID-19 การจัดสรรงบประมาณมหาศาลสำหรับพยุงเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ รวมถึงการระดมทุนในการจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์และสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาวัคซีนและยารักษาอาการจากเชื้อไวรัส เหล่านี้เป็นการแสดงความรับผิดชอบทางจริยธรรมที่เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติ แต่จะเป็นไปได้หรือไม่หากสถานการณ์การระบาดของไวรัส COVID-19 คลี่คลายลง ความร่วมมือร่วมใจนี้จะเกิดขึ้นกับภัยคุกคามอื่นๆที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เช่น สภาวะโลกร้อน การขาดแคลนอาหารและน้ำสะอาด ความไม่เท่าเทียมกัน และความไม่สงบสุข เป็นต้น

 

อวิรุทธ์ ฉัตรมาลาทอง, ศูนย์บริหารความเสี่ยง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ที่มา :

  1. COVID-19 and the ethical responsibility of universities

https://www.universityworldnews.com/post.php?story=20200410080845845

  1. Mental health and psychosocial considerations during the COVID-19 outbreak

https://www.who.int/docs/default-source/coronaviruse/mental-health-considerations.pdf

  1. UN tackles ‘infodemic’ of misinformation and cybercrime in COVID-19 crisis

https://www.un.org/en/un-coronavirus-communications-team/un-tackling-%E2%80%98infodemic%E2%80%99-misinformation-and-cybercrime-covid-19

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *